BUSINESS
“สูท” ที่มักเข้าใจกันว่าไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงแม้ในหมู่เสื้อผ้าผู้ชาย เนื่องจากมีดีไซน์ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองอยู่แล้วแต่ที่จริงแล้วดีไซน์หรือรายละเอียดของสูทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตามแต่ละยุคสมัย ตัวอย่างเช่น ในภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ยุค 80 มักนิยมสวมเสื้อหลวม ๆ ทรงของสูทจึงเป็น “ทรงใหญ่” ไปด้วย ในสมัยนั้นนิยมใส่แจ็กเกตที่มีแผ่นรองเสริมไหล่แบบหนาอยู่ด้านใน และบนเป้ากางเกงก็มีรอยจีบลึก เนื้อสัมผัสของผ้าที่หรูหราก็มีให้เลือกมากมาย เช่นผ้า Silk Wool ที่มีความมันวาวก็ได้รับความนิยม แต่เมื่อเข้าสู่ภาวะ เศรษฐกิจฟองสบู่แตกยุค 90 แบรนด์หรูอย่าง DC ก็เสื่อมความนิยมลง สูทดีไซน์แปลกใหม่ลดน้อยลงและการตัดสูท ทรงทางการแบบ “Italian Classico (ทรงคลาสสิคอิตาลี)” เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น อีกทั้งสูทกระดุม 3 เม็ดก็เริ่มได้รับความนิยมในยุคนี้เช่นกัน
“Mode Style” สูทมาแรงช่วงเข้ายุค 2020
“Italian Classico” นิยมใส่ในยุค 90
เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 สูททรงเข้ารูปที่ใช้กันในปัจจุบันก็เริ่มปรากฏขึ้น ความนิยมของทรงสูทได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนในปัจจุบัน “Mode Style” ที่มีลักษณะต่างจากสูทในอดีตขึ้นมาอยู่แถวหน้า หลักการคือ สวมให้ไหล่เสื้อแนบติดตัวและระดับความยาวขากางเกงสั้นพอที่จะไม่ คลุมข้อเท้า ผู้ผลิตเสื้อผ้าเองก็ปรับเปลี่ยนการวัดขนาดเสื้อผ้าให้เล็กลง มาตรฐานการวัดสูทก็เปลี่ยนไปมากจนสูทไซส์ M ในสมัยก่อนถูกนำมาขายเป็นไซส์ L ในปัจจุบัน
"สูท 4S" สูทแบบใหม่ที่สวมสบายเหมือนคาร์ดิแกน
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 2020 สูททรงเข้ารูปเองก็พัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นเน้น “ความใส่สบาย”โดยไม่ให้สูทเสียรูปทรง “สูท 4S” ที่เราเคยแนะนำไปก็เป็นหนึ่งใน “สูทแบบใหม่” ที่ไม่มีแผ่นรองเสริมไหล่ในแจ็กเกตและเบาสบายจนสามารถสวมเป็นเสื้อนอกเหมือนคาร์ดิแกนได้ ทั้งยังรักษารูปลักษณ์ที่ดูหรูหราได้ด้วยการนำวัสดุเสื้อกีฬามาทอในรูปแบบเดียวกับขนแกะ รวมถึงสามารถซักได้ ไม่จำเป็นต้องรีด และมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วย ผมเองก็ทำงานกับเสื้อผ้าบุรุษมานานกว่า 20 ปีแล้ว จึงได้ปรับสูทใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยมาตลอด แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่จะต้องสวมแจ็กเกตในขณะทำงานที่บ้านเพราะสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 หรือเพราะอากาศร้อน ๆ ของประเทศไทย ส่วนตัวผมเองก็อยากลองใส่ “สูทใส่สบาย” ที่เข้ากับยุคสมัยนี้เช่นกัน